พลาญชัย พระลานชัย


พลาญชัย  พระลานชัย

            บุญชู  ภูศรี

        คำว่า พระลาน กับ พลาญ พบว่ามีความแตกต่างในการเขียนระหว่าง บึงพลาญชัย (ซึ่งมักจะเขียนอธิบายเพิ่มท้ายเสมอว่า “หลักฐานเดิมเขียนเป็น บึงพระลานชัย”) และคำว่า วัดบึงพระลานชัย ซึ่งมีพื้นที่ติดกัน แต่เขียนแย้งกัน ซึ่งยังมีปัญหาที่มา คำที่ควรใช่ ความหมายที่ควรเป็น

ความน่าจะเป็นของ “พลาญชัย”

          หากเราจะอิงไปที่ภาษาเขมร เราสามารถจะได้คำตอบเรื่องนี้ก็เป็นได้ คำว่า “พลาญชัย” เป็นคำ ๓ คำ พระ+ลาน+ชัย คำว่า พระลาน ปรากฏในเขมรสมัยกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ ๑๕-๑๘) และสมัยปัจจุบัน เขียนว่า ​​​​​  /พฺระลาน/ ออกเสียงว่า “เปรียะเลียน” แปลว่า ลานศักดิ์สิทธิ์[๑]

          ภาษาเขมรสะกดด้วย “น” แล้วกลับกลายมาเป็นสะกดด้วย “ญ” มีให้เห็นเสมอในภาษาไทย เช่น

                                                เขมร             ถ่ายถอด        ไทย             

                                                    ច្រើ                  เจฺรีน              เจริญ

                                                រំគាន                    รํคาน             รำคาญ

                                         បំណាន              บํณาน            บำนาญ

          คำว่า พระลาน ออกมาเป็น พลาญ หรือ พลาน ได้อย่างไร อยู่ที่กระบวนการที่เรียกว่า “กร่อนเสียง” คือ กร่อนเสียง r ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้วในภาษาไทย ซึ่งแม้แต่อยุธยารับมาแรก ๆ ก็เขียนไม่เป็นเอกภาพกัน เช่น มหาชาติคำหลวง “ราชงฺคเณ ฐปยึสุ ก็มาประดิษฐานพระราชกุมาร ในพ่างพระลาญไชยท่านน้นน ยงงพิถียพลาญเลอศน้นน”[๒]

          ส่วนอีกคำหนึ่งเป็นคำว่า “ชัย” ซึ่งเป็นคำบาลีสันสกฤต ใช้ขยายพระลาน ซึ่งอาจจะแปลว่า “พระลานแห่งชัยชนะ” ก็ได้ คำว่า “พระลาน” จึงเขียนได้ทั้ง พลาญ พะลาน และพระลาน ดังกล่าวมานี้

          พลาญชัย เป็นมงคลนาม ที่หมายถึง ลานหรือสนามสำหรับงานพระราชพิธี หรือเป็นลานของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งใช้ประโยชน์ในราชการงานหลวง

 

พัฒนาการของ “พลาญ” ในวรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน

          ในภาคอีสานก็มีปริศนาภาษิตโบราณว่า “อยากกินข้าวให้ปลูกใส่พะลานหีน อยากมีศีลให้ฆ่าพ่อตีแม่ อยากให้คนมาแว่ให้ฆ่าเจ้าเอาของ”[๓] คำว่า “พระลาน” หมายถึง “ลานหินขนาดกว้างมักจะพบรวมอยู่ใกล้ ๆ กับตาด (ลานหินไม่กว้างนัก) ซึ่งจะอยู่ชั้นล่างสุดของน้ำตก  บางแห่งเรียกว่า ลานหิน หรือ หินดาด หรือ ลานหินดาด[๔]

          เราจะย้อนกลับไปค้นคำว่า “พระลาน” ในมหากาพย์ท้าวฮุ่งท้าวเจือง  ในช่วงแรก ใช้คำว่า “ข่วง” ซึ่งมีความหมายกว้าง หมายถึง สนาม “พ้นเถื่อนกว้างเถิงข่วง  สมคาม” คำว่า “ข่วง” จึงเป็นสนามที่กว้างใหญ่ รวมถึงบริเวณลานในพระราชวัง ก็เรียก “ข่วง” ได้โดยมักจะคำเสริมศักดิ์ด้านหน้าหรือด้านหลังคำว่าข่วง เช่น ราชค่วงคุ้ม[๕] ข่วงโฮงหลวง ข่วงสนามหลวง[๖] หรือกระทั่ง ราชคุ้มควงราชอินทร์แปลง[๗] เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นข่วงขนาดใหญ่ ข่วงของพระราชา

          ในช่วงแรกของท้าวฮุ่งจะใช้คำว่า “ข่วง” ต่อมาจึงใช้คำว่า “พระลาน” พบคำว่า พระลาน[๘] พระลานเพียง[๙] พระลานหลวง[๑๐] และใช้พระลานผสมปนกับ ข่วง เช่น “คนกมก้ามพระลานเพียง ล้นข่วง”[๑๑] บางครั้งใช้ซ้อนกับว่าข่วงเลย เช่น “เถิงแห่งห้องสวนกว้างข่วงพะลาน”[๑๒] โดยเติมคำวิเศษณ์เข้าด้านหลังของคำ คือ พระลานหลวง=ข่วงขนาดใหญ่ พระลานเพียง=ข่วงพื้นเรียบ เป็นต้น

          สรุป คือ ใช้คำว่า “ข่วง” แทนคำว่า บริเวณ แล้วรับ “พระลาน” ที่เป็นคำเขมรที่มาใช้แทน ทั้งใช้ผสนมและใช้แทนคำว่า “ข่วง” รวมทั้งปรับรูปลักษณ์ แต่งตัวคำว่า พระลาน เป็น พลาญ แล้วเสริม เติม คำหน้า คำหลัง ใช้ในวรรณกรรม และคำพูดทั่วไป จนกระทั่งเห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน

 


  ภาพ ๑ : ป้ายคำว่า “พลาญชัย” ภายในบริเวณบึงพลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด 

ภาพ ๒ : วัดบึงพระลานชัย ด้านทิศตะวันตก ของบึงพลาญชัย
 
พระลานชัย พลาญชัย

          พลาญชัยและพระลานชัย เป็นมงคลนามที่ใช้เรียก “สนามของพระราชา” ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นคำเดียวกัน แต่ต่างคนต่างใช้ ต่างเขียน ทางศาสนจักรอาจจะเทียบบาลีเป็นตัวตั้ง เห็นว่าพระลานชัย เป็นบาลีมากกว่า ส่วนอาณาจักรใช้คำว่า พลาญชัย ด้วยอาจจะเห็นว่าเป็นเขมรมากกว่า สำหรับในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว ก็เจอคำว่า พะลานไช ( ) เป็นชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัดสะหวันนะเขด แต่ด้วยระบบการเขียนของลาวที่เขียนตามเสียง คือออกเสียงอย่างไร เขียนอย่างนั้น จึงไม่มีข้อสงสัยเรื่องคำใดเขียนผิดเขียนถูก

ส่วนคำว่า “ชัย” ที่เติมเข้าด้านหลังนั้น เป็นภาษาบาลีสันสกฤต เสริมคำว่า พระลาน/พะลาน/พลาญ ให้เป็นมงคลนามมากขึ้น และเสริมให้เป็นลานเลิศกว่าลานอื่นทั้งปวง ดังนั้น พลาญชัย พระลานชัย และพะลานไช จะแปลว่า ลานแห่งชัยชนะ หรือลานฉลองชัยชนะก็ได้

 


ภาพที่ 3 : พะลานไช ภาพวาดแผนที่ภายในบริเวณปั้มน้ำมัน ตามทางหมายเลข ๑๓ ของ สปป.ลาว



 
 
 



เชิงอรรถ
            [๑]อุไรศรี  วรศะริน. ร่องรอยภาษาเขมรในภาษาไทย. (กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร), น. ๒๑๓.
            [๒]ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย สมัยอยุธยา มหาชาติคำหลวง. (กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๙), น. ๑๗๐.
            [๓]ปรีชา  พิณทอง. ไขภาษิตโบราณอีสาน. (อุบลราชธานี : ศิริธรรมออฟเซ็ท, ๒๕๒๘), น. ๔๒๔.
            [๔]ธวัช  ปุณโณทก. “ตาด (ลานหิน) : ภูมิศาสตร์” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคอีสาน เล่ม ๔. (กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒), น. ๑๔๐๙.
            [๕]ประภาส  สุรเสน. มหาชาติสำนวนอีสาน. (กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร), น. ๒๐๓.
            [๖]ธวัช  ปุณโณทก. “ข่วง (ลานบ้าน) : สถานที่” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคอีสาน เล่ม ๒. (กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒), น. ๔๔๒. ธวัช ปุณโณทก ได้อธิบายว่า ข่วงโฮงหลวง หรือ ข่วงสนามหลวง หรือ เค้าสนามหลวง หมายถึง ท้องพระโรง หรือสถานที่ประชุมของเจ้าเมือง
            [๗]ปรีชา  พิณทอง. สังข์ศิลป์ชัย. (อุบลราชธานี : ศิริธรรม, ๒๕๒๓), น. ๓๔๗.
            [๘]ดวงเดือน  บุนยาวง และคณะ. มหากาพย์ท้าวฮุ่งท้าวเจือง เล่ม ๑. (เวียงจันทน์ : หอสมุดแห่งชาติ, ๒๐๐๐), น. ๓๔๕.
            [๙]เรื่องเดียวกัน, น. ๓๒๘.
            [๑๐]เรื่องเดียวกัน, น. ๓๔๐.
            [๑๑]เรื่องเดียวกัน, น. ๓๒๘.
            [๑๒]ปรีชา พิณทอง. สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ. (อุบลราชธานี : ศิริธรรม, 2532), 562.

ความคิดเห็น