บุญชู ภูศรี
ความนำ
ยาม
คือ เวลา ช่วงเวลา เครื่องมือในการบอกเวลาในอดีต ซึ่งมีชื่อยามบอกเวลาที่หลากหลาย
และบางคำได้หายไปในปัจจุบัน เนื่องจากว่าการบอกเวลาในปัจจุบันใช้ตัวเลขในการบอก ยามหรือเครื่องหมายบอกเวลาของคนอีสานจึงค่อย
ๆ หายไปหรือใช้เฉพาะคนสูงอายุโดยไม่เป็นที่คุ้นเคยของคนอีสานรุ่นใหม่ในปัจจุบัน
การศึกษาค้นคว้าเรื่องยามพื้นบ้านนี้
ผู้เขียนศึกษาค้นคว้าเฉพาะที่ปรากฏในใบลานในวัดชมพู บ้านหนองหินใหญ่ ตำบลหนองหิน
อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยแรงจูงใจเกิดจากการจัดเก็บและสำรวจใบลานอย่างละเอียด
ซึ่งในตอนท้ายของการเขียนใบลาน (อวสานพจน์) พบว่ามีการบอกเวลา (ยาม) ที่เขียนใบลานแล้วเสร็จ
บางฉบับบอกผู้เขียน เจ้าภาพในการสร้างถวาย และบางฉบับมีบอกปีที่จาร (เขียน) ด้วย ทำให้ใบลานนั้นทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น
สมุดภาพคัดลายมือด้วยตัวอักษรธรรมอีสานในการเก็บข้อมูลเรื่องยามพื้นบ้านอีสาน : ภาพโดยผู้เขียน
ภาพที่
1 : บรรทัดที่ 1 - ริจนาแล้วยามถือไถแก่แลเจ้าเอย
เดือน 10 ขึ้น 9 ค่ำ พร่ำว่าได้วัน 7 แลเจ้าเอย
ภาพที่ 2 : บรรทัดที่ 1 - ริจนาแล้วยามตะเว็นสอดขื่อแลเจ้าเอย จัวแหวนเขียนแลเจ้าเอย
ยามหลวง หรือยามราชสำนัก คือ การกำหนดเวลาที่ราชสำนักล้านช้างใช้ ซึ่งแบ่งเป็นช่วง ๆ วันหนึ่งแบ่งเป็น 16 ช่วง เรียกว่า ยาม โดยกลางวันมี 8 ยาม กลางคืนมี 8 ยาม ยามหนึ่งเท่ากับ 1 ชั่วโมง 30 นาที ดังนี้
ลำดับ
|
ชื่อยาม
|
ช่วงเวลา
|
1
|
ยามตุดตั้ง
|
06.00
น. - 07.30 น.
|
2
|
ยามงาย
|
07.30
น. - 09.30 น.
|
3
|
ยามแถใกล้เที่ยง
|
09.00
น. - 10.30 น.
|
4
|
ยามเที่ยง
|
10.30
น. - 12.00 น.
|
5
|
ยามตุดซ้าย
|
12.00
น. - 13.30 น.
|
6
|
ยามแลง (ยามกลองแลง)
|
13.30
น. - 15.00 น.
|
7
|
ยามแถใกล้ค่ำ
|
15.00
น. - 16.30 น.
|
8
|
ยามพาดลั่น (ค่ำ)
|
16.30
น. - 18.00 น.
|
ตาราง
1 : ยามกลางวัน
ลำดับ
|
ชื่อยาม
|
ช่วงเวลา
|
1
|
ยามตุดตั้ง
|
18.00
น. - 19.30 น.
|
2
|
ยามเดิก (ดึก)
|
19.30
น. - 21.00 น.
|
3
|
ยามแถใกล้เที่ยง
|
21.00
น. - 22.30 น.
|
4
|
ยามเที่ยง
|
22.30
น. - 24.00 น.
|
5
|
ยามตุดซ้าย
|
24.00
น. - 01.30 น.
|
6
|
ยามเข้า (ยามเค้า)
|
01.30
น. - 03.00 น.
|
7
|
ยามแถใกล้ฮุ่ง (รุ่ง)
|
03.00
น. - 04.30 น.
|
8
|
ยามพาดลั่น (ฮุ่ง)
|
04.30
น. - 06.00 น.
|
ตาราง
2 : ยามกลางคืน
ตารางยามจาก
: ธวัช
ปุณโณทก, 2530 : 184-185
2. ยามไทบ้าน
ยามไทบ้าน หรือยามพื้นบ้าน คือ ยามที่ประชาชนทั่วไปใช้ในการกำหนดเวลา โดยนำเอาวิถีชีวิต
กิจวัตร ธรรมชาติ ในท้องถิ่นของตนมาเป็นเครื่องกำหนดเวลา เช่น กิจกรรมทางศาสนา
เวลาในการตักน้ำ อาบน้ำ กินข้าว ดวงอาทิตย์ที่สัมพันธ์ส่องแสงมาถึงอาคารบ้านเรือน
ต้นไม้ เป็นต้น ซึ่งมีรายละเอียดชื่อยาม ดังต่อไปนี้
ยามเช้า
|
ยามเพล
- ยามเที่ยง
|
ยามบ่าย
|
ยามเย็น - ยามกลางคืน
|
-ยามจังหัน
-ยามตาวัน
๓ โมงเช้า
-ยามฉันจังหันแล้วใหม่ ๆ
-ยามงายแก่
-ยามงายแล้ว
-ยามฉันจังหัน
-ยามแม่ออกมาใส่บาตร
-ยามเช้า
-ยามถือไถแก่
-ยามแม่ออกแปงจังหัน
-ยามเลิกจังหัน
|
-ยามแม่ออกเลิกเพล
-ยามเพล
-ยามแถเที่ยง
-ยามเพลแล้ว
-ยามเณรใกล้สิตีเพล
-ยามแม่ออกเลิกเพล
-ยามกองเพล
-ยามแม่เพลมาโฮมกัน
-ยามตาวันเที่ยง
|
-ยามสีกาลงท่า
-ยามตาวันใกล้สิบ่าย
-ยามตาวันบ่าย
-พอตาวันบ่าย
๓ โมงแลง
-ยามค้ายบ่ายโมง
-ยามคล้ายบ่าย
-ยามตาวันบ่าย
๒ โมง
-ยามสีกาลงท่า
-ยามสาวลงท่า
|
-ยามตาวันพวมพ้นปลายไม้
-ยามตาวันลับป่า
-ยามแลงค้อยสิค่ำ
-ยามมื้อแลงแดดอ่อน ๆ
-ยามตาเว็นสอดขื่อ
-ยามควายต้อมแหล่ง
-ยามตีกลองงัน
-ยามคนกินข้าวแลง
-ยามหม่าข้าวแลง
-ยามตีกลองแลง
-ยามกลองแลง
-ยามแลงใกล้สิค่ำ
-ยามแลงค้ายค่ำ
|
งาย-เช้า/จังหัน-ภัตตาหารเช้า/ตาวัน,ตาเว็น-ตะวัน/แม่ออก-อุบาสิกา/แปงจังหัน-เตรียมภัตตาหารเช้า/เลิกจังหัน-พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ/เลิกเพล-พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเพลเสร็จ/ใกล้สิตีเพล-ใกล้จะเพล/แม่เพล-อุบาสิกาที่มาถวายภัตตาหารเพล/โฮมกัน-รวมกัน/ใกล้สิบ่าย-ใกล้จะบ่าย/พวม-กำลัง/ข้าวแลง-ข้าวเย็น/ยามถือไถแก่-เวลาเช้าช่วงไถนา
อธิบายยามพื้นบ้าน
1. ยามงายแก่
สารานุกรมวัฒนธรรมไทย
ภาคอีสาน กล่าวถึง งาย 3 ประเภท คือ 1) งายธรรมดา คือ เวลาที่ยังไม่สายเท่าที่ควร
2) งายเงิก คือ เวลาสายมาก เปรียบเหมือนกับคนที่ไปทำนาแต่เช้า ก้มหน้าดำนา
เมื่อหิวข้าวก็เงย(เงิก)หน้าขึ้นมองหน้ามองหลัง เพื่อมองหาคนที่จะนำข้าวมาส่ง เป็นช่วงเวลาเลย
09.00 น. แล้ว (ปรีชา พิณทอง, 2532 : 211) และ 3) งายตาเหลือก คือ เวลาที่สายมาก ประเภทหิวข้าวจนตาลาย งายประเภทนี้ทำให้เกิดตำนานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่
คำว่า
งายแก่ คงจะเป็นเวลาสายแก่ประเภทเดียวกันกับงายตาเหลือก เป็นช่วงเวลาใกล้เพล
ซึ่งแดดเริ่มจัด ภาษาอีสานเรียกว่า แดดแก่ จึงน่าจะนำคำว่า แก่
จากลักษณะของแดดมาเรียกขยายลักษณะเวลาสายจัดนั่นเอง
ยามนี้เป็นเวลาเย็นที่หญิงสาวเริ่มทยอยที่จะไปหาบน้ำ
ซึ่งสอดคล้องกับเพลงร้องเล่น ว่า “อาบน้ำท่าไหน
อาบน้ำท่าวัด” ซึ่งวัดในอีสานโดยส่วนหนึ่งเมื่อตั้งบ้านเรือนใกล้แหล่งน้ำ
หรือหากไม่มีแหล่งน้ำก็จะขุดบ่อและสระในวัด การขุดบ่อก็เพื่อใช้น้ำสำหรับอุปโภคบริโภค
ที่ขุดบ่อให้วัด เหตุผลง่าย ๆ คือ เป็นสาธารณะ จนมีคำพูดติดปากว่า “ขุดน้ำบ่อ ก่อศาลา ยอขาผู้เถ้า”
คำว่า “ขุดน้ำบ่อ” หมายถึง บ่อน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค ชาวอีสานเรียกว่า “น้ำส่าง” หรือ “ส่าง” เป็นปัจจัยสำคัญในการตั้งถิ่นฐาน และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องใช้
ในอีสานสมัยอดีตทุกวัดต้องมีน้ำบ่อ ทั้งบ่อน้ำอุปโภคบริโภค
นอกจากนี้จะสังเกตว่าในภาคอีสาน
เมื่อพูดถึงการทำบุญ มักจะใช้คำว่า “สร้างน้ำทำบุญ” มากกว่าที่จะนิยมพูดว่า “ทำบุญสุนทรทาน”
เป็นคำบอกเวลาที่มีความสัมพันธ์ระว่างแสงอาทิตย์กับที่อยู่อาศัย
ทำให้มองเห็นสภาพบ้านเรือนได้เป็นอย่างดี
แสงตะวันยามเย็นจะสอดเข้ามาทางสีหน้าของเรือน บางทีเราเรียกว่า ยามผีตากผ้าอ้อม
หรือยามลิงตากผ้าอ้อม เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับยามตาวันพวมพ้นปลายไม้
ยามตาวันลับป่า ยามแลงคล้อยสิค่ำ
ยามมื้อแลงแดดอ่อน ๆ
ภาพ
3 : ศาลาการเปรียญแบบโปร่ง
ตอนเย็นแสงแดดสามารถสอดแสงเข้าถึงขื่อได้
ถ่ายเมื่อ
18/10/2549 ถ่ายภาพโดยผู้เขียน
ภาพ
4 : เรือนบ้าน ๆ แสงแดดสามารถสาดส่องเข้าไปสอดขื่อได้
ถ่ายเมื่อ
18/7/2550 ถ่ายภาพโดยผู้เขียน
ต้อม
หมายถึง ชุม รวม แหล่ง ถ้าเป็นกริยา หมายถึง การเอาเชือกผูกวัวควายไว้ในคอก
คำนามหมายถึง ที่อยู่หรือคอกของสัตว์พาหนะ (สิลา
วีระวงส์, 2549 : 310) ควายต้อมแหล่ง จากการสอบนักศึกษาลาวอธิบายว่า ที่อยู่ของควายที่ไม่ใช่คอก แต่เป็นการนำควายไปผูกรวมกัน (จุ้มกันไว้) ยามควายต้อมแหล่ง น่าจะอยู่ในช่วงเวลา 17.00-16.00 น.
ค้าย
หมายถึง บ่าย ชาย ส่วนคำว่าค้อย หมายถึง เอน เอียง ทั้งคำว่า ค้อยและค้าย
นำมาอธิบายลักษณะของเวลาช่วงคาบเกี่ยวจากช่วงหนึ่งจะเข้าสู่อีกช่วงหนึ่ง คือ
ยามค้ายบ่ายโมง และยามคล้ายบ่าย หมายถึง ตะวันเลยเที่ยงจะเข้าสู่ช่วงบ่าย
ถ้าจะระบุเวลาตอนบ่ายก็สามารถจะใช้คำว่า ค้ายบ่ายโมง (13.00 น.) ค้ายบ่ายสองโมง
(14.00 น.) ค้ายบ่ายสามโมง (15.00 น.) ส่วนยามแลงค้อยสิค่ำ และยามแลงค้ายสิค่ำ
หมายถึง ช่วงเย็นใกล้จะมืด
เป็นช่วงเวลามองเห็นลายมือพอจะเขียนหนังสือได้ด้วยตาเปล่า ภาษาอีสานอีกคำเรียกช่วงเวลานี้
คือ “พอซุ้มล้าว” หรือ เวลาพลบค่ำ นั่นเอง
กองงัน
คือ กลองเพลที่ตีในวัน 7-8 ค่ำ และ 14-15 ค่ำของเดือน ในช่วงเวลาหลังจากรับประทานข้าวเย็นเสร็จ
(ประมาณเลย 19.00 น.) เพื่อให้อุบาสกอุบาสิกา หนุ่มสาว เด็ก ออกมาทำวัตรสวดมนต์
ฟังคำสอนทางพุทธศาสนา (ปรีชา พิณทอง, 2532
: 34) การตีกลองงันนี้น่าจะเป็นที่ถูกใจของเด็ก
ๆ เพราะมีสำนวน กล่าวว่า “ตีกลองงัน หูชันชองลอง” อาการ “หูชันช่องล่อง”
ของเด็กเป็นอาการแสดงความดีใจอย่างหนึ่ง
และอีกอย่างหนึ่งเป็นอาการที่ผู้ใหญ่พูดหยอกล้อด้วยความเอ็นดูต่อเด็ก
เพราะอาการหูชันส่วนใหญ่เป็นอาการตื่นตัวของสัตว์
เมื่อได้ยินเสียงตีกองงันดังมาจากวัด เด็กมักจะแสดงอาการดีใจ
เหมือนกับอาการของเด็กที่เฝ้ารอดูละครทีวีในปัจจุบัน การตีกองงันของทางวัดจะอยู่ในช่วงรับประทานข้าวเย็นเสร็จ
เมื่อหมู่บ้านนั้นจะมีกิจกรรมสาธารณะเกิดขึ้นในอนาคต
พระสงฆ์จะตีกลองเพื่อเป็นสัญญาณให้ชาวบ้านมาทำกิจกรรมเพื่อเตรียมงานที่วัด เป็นเวลาที่หนุ่มสาวและเด็กจะได้มาเล่นและทำกิจกรรมในวัดนั่นเอง
สรุป
ยามชาวบ้านเป็นยามที่หลากหลายมากกว่ายามราชสำนัก
จะเห็นว่าถ้าเป็นพระสงฆ์เขียนยามต่าง ๆ มักจะอิงอยู่กับวัด เช่น ยามจังหัน
ยามแม่ออกตอมเพล เป็นต้น ถ้าผู้จารเป็นฆราวาสยามต่าง ๆ มักจะอิงกับวิถีชีวิตฆราวาส
เช่น ยามควายตอมแหล่ง ยามหม่าข้าวแลง ยามถือไถแก่ เป็นต้น ยามเหล่านี้จึงเป็นยามที่คนอีสานปรับเข้ากับวิถีชีวิต
สภาพสังคมของตนเอง รวมถึงรับวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่มีการบอกยามเป็นตัวเลขด้วย
ซึ่งคำบอกเวลาบางคำไม่ใช้แล้วในปัจจุบันและคำบอกเวลานั้นน่าจะมีมากกว่านี้อีกและจะมีประโยชน์ในด้านต่าง
ๆ หากมีการศึกษาจากหลาย ๆ แห่งเปรียบเทียบกัน
เอกสารประกอบการเขียน
ธวัช ปุณโณทก. (2530). ศิลาจารึกอีสานสมัยไทยลาว : ศึกษาทางด้านอักขรวิทยาและประวัติศาสตร์อีสาน.
กรุงเทพฯ : คุณพินอักษรกิจ.
สารานุกรมวัฒนธรรมไทย
ภาคอีสาน เล่มที่. (2542). กรุงเทพฯ : มูลนิธิธนาคารไทยพาณิชย์.
สิลา วีระวงส์. (2545). วัจนานุกรมภาษาลาว.
ฉบับปรับปรุง 2549. เวียงจันทน์ : จำปาการพิมพ์, 2549.
ปรีชา พิณทอง. (2532). สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ.
อุบลราชธานี : โรงพิมพ์ศิริธรรม.
ความคิดเห็น